Search

Ad Astra (2019) เข้าฉายแล้ววันนี้

ถือเป...

  • Share this:

Ad Astra (2019) เข้าฉายแล้ววันนี้

ถือเป็นงานคลายปมในใจลูกชายคนหนึ่งที่ผู้กำกับเลือกจะเล่าเรื่องผ่านภารกิจตะลุยอวกาศ มีประเด็นดราม่าเรียบง่ายชวนให้รู้สึกตกค้างหลังดูจบ ซึ่งหนังอาจจะไม่เหมาะจะจัดเข้าหมวดหมู่เป็นไซไฟประเด็นวิทยาศาสตร์ในแบบที่คาดหวัง แต่ถ้ามองเป็นหนังสำรวจจิตใจมนุษย์ระหว่างการเดินทางก็น่าสนใจไม่น้อย พล็อตมันประมาณว่าอยู่ดี ๆ ในจักรวาลก็เกิดคลื่นพลังงานแผ่สะเทือนมาถึงโลก 'รอย' (Brad Pitt) นักบินอวกาศเลยถูกหน่วยงานสเปซคอมเรียกตัวไปทำภารกิจเชื่อมโยงถึงการหายสาบสูญของพ่อเขาเมื่อ 16 ปีก่อน ซึ่งทางสเปซคอมเชื่อว่าพ่อของรอยยังมีชีวิตอยู่ อารมณ์ของหนังมันเหมือนคน ๆ หนึ่งที่เกิดมาพร้อมกับปมห่างเหินกับพ่อผู้บ้างานสำรวจอวกาศ จนตัวเขาไม่เชื่อมั่นในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ เขาจึงโตมาด้วยแนวคิดพยายามออกห่างจากผู้คน แต่การเดินทางแสนโดดเดี่ยวทำให้เขาได้ใช้เวลาทบทวนความต้องการที่อยู่ลึกข้างในใจตัวเอง
.
สิ่งหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้คือหนังแสดงให้เห็นว่าคนที่ประสบความสำเร็จในภารกิจสุดหินเหนือกว่ามนุษย์คนอื่น นอกจากความมุ่งมั่นแล้วยังต้องมีความเชื่อมากกว่าใคร 'คลิฟฟอร์ด' (Tommy Lee Jones) พ่อของรอยคือคนที่ทุ่มเทชีวิตเพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิตต่างดาว ความแน่วแน่นั้นทำให้เขาเลือกจะละทิ้งครอบครัวเพราะตระหนักได้ว่าจุดหมายที่ตัวเองต้องการคืออะไร เป็นคนที่มีคำตอบให้ตัวเองแล้วว่าเกิดมาเพื่ออุทิศชีวิตให้สิ่งไหน แม้การตัดสินใจจะทำให้เกิดปมในใจลูกชายของเขาก็ตาม
.
โดยไม่รู้ตัว รอยกลายเป็นคนที่เชื่อว่าตัวเองชอบที่จะอยู่ตัวคนเดียว แต่ลึก ๆ แล้วปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าเขายังคงมีความต้องการที่จะมีคนอยู่เคียงข้าง หนังใช้การเดินทางแสนน่าเบื่อและเงียบสงบเป็นโอกาสได้ทบทวนถึงชีวิตบนโลก ราวกับว่าพอได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เคยคิดว่าตัวเองต้องการ ดันกลายเป็นความผิดพลาดเพราะยังคงคิดถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง แถมดูจะโหยหายิ่งกว่าเดิม ที่น่าขำไปกว่านั้นคือตลอดทั้งเรื่องมีเหตุการณ์ตื่นเต้นชวนให้หัวใจเต้นแรงและกระตุ้นการแสดงออกของความรู้สึกสุด ๆ (เฉียดตายตกจากสถานีอวกาศ, ไล่ล่าบนดวงจันทร์) แต่เหมือนว่าสิ่งที่กระตุ้นได้จริง ๆ กลับเป็นเรื่องของพ่อที่เปลี่ยนความเชื่อของตัวเองมากกว่า
.
ขอพูดถึงการเซ็ตหนังในแบบเจมส์ เกรย์ นิดนึง แอบรู้สึกว่าเกรย์พยายามปั้น Ad Astra เป็นทรงหนังแอ็คชั่นไซไฟเหมือนกัน อย่างน้อยก็พอมีฉากให้เอาไปตัดตัวอย่างดูกลายเป็นหนังแอ็คชั่นได้ ส่วนตัวเราชอบการออกแบบฉากระทึกขวัญของเกรย์มาตั้งแต่ตอนดู We Own the Night มันมีการนำเสนอที่แตกต่างจากสิ่งที่ผู้กำกับคนอื่นทำค่อนข้างเยอะ ตอนนั้นฉากขับรถไล่ล่ากลางสายฝนเท่มาก ติดท็อป car chase ตลอดกาลในใจเลย มีฉากบุกโรงงานที่ให้คนดูรู้สึกอยู่ในห่ากระสุน แล้วปิดด้วยฉากไล่ล่าในพงหญ้าชวนกดดัน มาคราวนี้ใน Ad Astra ก็ทำคล้ายกันคือมีฉากโรเวอร์ไล่ล่าบนดวงจันทร์ที่ดูแปลกใหม่ดี เวลาเกรย์ทำฉากแอ็คชั่นเขาไม่ใส่เสียงดนตรีประกอบด้วย เจ๋งตรงที่แค่ภาพและตัดต่อก็บิ๊วเพียงพอแล้ว
.
อย่างไรก็ตาม ยังคงรู้สึกว่าหนังไปไม่สุดทางเท่าไร ประเด็นสำรวจจิตใจตัวละครมันไม่ได้ชวนทึ่งหรือซับซ้อน ส่วนเรื่องอวกาศก็ไม่ได้ถูกเน้นแบบวิทยาศาสตร์ตั้งแต่แรก ส่วนความเรียบง่ายของหนังยังต้องรอว่าผ่านไปสักอาทิตย์ยังคงรู้สึกตกค้างในใจอยู่หรือเปล่า ที่ชอบอีกอย่างคือพอหนังเลือกจะเล่าโดยใช้เสียงบรรยาย ถ้าเป็นปกติมันจะเชยระเบิดระเบ้อ แต่เจมส์ เกรย์ หยิบมาใช้ในเคสแบบนี้แล้วดีแฮะ เหมือนเสียงบรรยายเป็นสิ่งที่รอยคิดว่าตัวเองต้องการ แต่คำตอบจริง ๆ มันกลับซ่อนลึกอยู่ในความรู้สึกเวลาไม่ได้ใช้ความคิดมากกว่า

ป.ล. รู้ตัวอีกทีก็ดูงานเจมส์ เกรย์ เป็นเรื่องที่ 5 แล้วดูงานกำกับภาพของ ฮอยต์ ฟาน ฮอยเตมา เป็นเรื่องที่ 8

Director: James Gray (ผู้กำกับ We Own the Night, The Lost City of Z, Two Lovers, The Immigrant)
screenplay: James Gray, Ethan Gross

Genre: adventure, drama, sci-fi
7.5/10


Tags:

About author
ผมมีความฝันอยากเห็นคนไทยได้รู้จักหนังหลากหลายกว่าเดิม ผมจึงสร้างเพจ 'หนังโปรดของข้าพเจ้า' ด้วยความเชื่อที่ว่าทุกคนอยากแนะนำหนังโปรดของตัวเอง โดยเคารพความแตกต่างของรสนิยมทุกคน เพราะหนังโปรดของเรา อาจไม่ใช่หนังโปรดของเขา ยินดีต้อนรับคนรักหนังทุกท่านนะครับ :)
"หนังโปรดของเรา อาจจะไม่ใช่หนังโปรดของเขา" ยินดีที่ได้แนะนำหนังผ่านการเขียนรีวิว
View all posts